เรตินอล คืออะไร ช่วยอะไร พร้อมวิธีใช้ที่ถูกต้อง
วันนี้พวกเรา ที่สุด TeeSud จะมาเจาะลึกถึงคุณสมบัติ ประโยชน์ วิธีการใช้ และผลข้างเคียงของเรตินอล เพื่อให้คุณเข้าใจและสามารถใช้เรตินอลได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
เรตินอล คืออะไร
เรตินอล (Retinol) คือ อนุพันธ์ของวิตามินเอ ชนิดหนึ่งที่มีประสิทธิภาพสูงในการต่อสู้กับริ้วรอยและสิว มักถูกขนานนามว่า “ฮีโร่ต่อวัยเยาว์” พบได้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหลากหลายประเภท โดยเฉพาะกลุ่ม Anti-Aging เรตินอลทำงานโดยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และลดการอักเสบ ส่งผลให้ผิวเรียบเนียน รูขุมขนกระชับ ริ้วรอยดูจางลง และสิวเสื่อมลง
ประโยชน์ของเรตินอล
1. ลดเลือนริ้วรอย
เรตินอลช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยให้ผิวกระชับและยืดหยุ่น ส่งผลให้ริ้วรอยและร่องลึกดูลดเลือนลง
2. ลดรอยดำรอยแดง
เรตินอลช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ซึ่งเป็นสาเหตุของรอยดำ รอยแดง และฝ้ากระ ช่วยให้ผิวแลดูสม่ำเสมอและกระจ่างใสขึ้น
3. ผลัดเซลล์ผิว
เรตินอลช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพ เผยผิวใหม่ที่สดใสและเรียบเนียนขึ้น
4. ลดรูขุมขน
เรตินอลช่วยควบคุมการผลิตน้ำมัน ช่วยให้รูขุมขนกระชับและดูเล็กลง
5. รักษาสิว
เรตินอลช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน ลดการอักเสบ และช่วยให้สิวแห้งและยุบลงเร็วขึ้น
เรตินอล ช่วยอะไร
-
ผิวหน้า
เรตินอลเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้า เช่น ริ้วรอย รอยดำ รอยแดง รูขุมขนกว้าง สิว และผิวหมองคล้ำ
-
ผิวกาย
เรตินอลสามารถใช้กับผิวกายเพื่อช่วยลดเลือนริ้วรอยและรอยด่างดำบนบริเวณต่างๆ เช่น ลำคอ หน้าอก และมือ
เรตินอล ใช้ยังไง-วิธีใช้
- เริ่มต้นด้วยการใช้เรตินอลที่มีความเข้มข้นต่ำก่อน เช่น 0.025% หรือ 0.05% และใช้เพียง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
- ทาเรตินอลบนผิวที่แห้งและสะอาด หลีกเลี่ยงบริเวณรอบดวงตาและริมฝีปาก
- ทาครีมกันแดดทุกเช้าเป็นประจำ เพราะเรตินอลทำให้ผิวไวต่อแสงแดด
- สังเกตุอาการระคายเคือง เช่น แดง ลอก สิวอักเสบ if เกิดอาการเหล่านี้ ให้หยุดใช้และปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
เรตินอลเป็นสารที่มีประสิทธิภาพสูงในการต่อต้านริ้วรอยและฟื้นฟูผิว แต่ควรใช้อย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันผลข้างเคียง
เรตินอล ห้ามใช้กับอะไรบ้าง?
เรตินอลเป็นสารที่มีประสิทธิภาพสูงในการต่อต้านริ้วรอยและฟื้นฟูผิว แต่ควรใช้อย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันผลข้างเคียง โดยเรตินอลไม่ควรใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมดังนี้
1. กรดผลไม้ (AHA)
กรดไกลโคลิก (Glycolic acid) กรดแลคติก (Lactic acid) กรดแมนเดลิก (Mandelic acid) กรดซิตริก (Citric acid) เพราะกรดเหล่านี้มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิวเช่นเดียวกับเรตินอล การใช้ร่วมกันอาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง แดง ลอก แสบร้อนได้ง่าย
2. เบต้าไฮดรอกซีกรด (BHA)
กรดซาลิไซลิก (Salicylic acid) กรดอะเซลัยซาลิไซลิก (Acetylsalicylic acid) เพราะ BHA มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิวและลดการอักเสบ การใช้ร่วมกันอาจทำให้ผิวแห้ง ลอก ระคายเคืองได้
3. วิตามินซี
โดยเฉพาะวิตามินซีรูปแบบ L-ascorbic acid เพราะวิตามินซีมีฤทธิ์ไวต่อแสงแดด การใช้ร่วมกับเรตินอลอาจทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินซีในรูปแบบอื่น เช่น วิตามินซีเอสเทอร์ (Vitamin C esters)
4. เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide)
เพราะเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย การใช้ร่วมกับเรตินอลอาจทำให้ผิวแห้ง ลอก ระคายเคือง และลดประสิทธิภาพของเรตินอลลง
5. ผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์ลอกผิวอื่นๆ
พวกที่มี AHA ความเข้มข้นสูง หรือ เอ็นไซม์ผลัดเซลล์ผิว เพราะการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ร่วมกับเรตินอล อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง แสบร้อน แดง ลอก ได้ง่าย
ผลข้างเคียงของเรตินอล
เรตินอลเป็นสารที่มีประสิทธิภาพสูงในการต่อต้านริ้วรอยและฟื้นฟูผิว แต่การใช้เรตินอลอาจเกิดผลข้างเคียงได้ โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นการใช้ ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย ได้แก่:
1. ผิวแห้ง
เรตินอลมีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว อาจทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น ส่งผลให้ผิวแห้ง ลอก
2. ผิวระคายเคือง
อาจทำให้ผิวรู้สึกแสบร้อน แดง คัน โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย
3. ผิวไวต่อแสงแดด
เรตินอลทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น ควรทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกเช้า SPF 30 ขึ้นไป
4. สิวอักเสบ
ในช่วงเริ่มต้นการใช้ อาจทำให้เกิดสิวอักเสบได้ เนื่องจากเรตินอลช่วยผลัดเซลล์ผิวและขจัดสิ่งอุดตันในรูขุมขน
5. ผิวลอกเป็นขุย
อาจทำให้ผิวลอกเป็นขุย โดยเฉพาะบริเวณที่มีผิวแห้ง
สรุปแล้ว ผลข้างเคียงเหล่านี้มักเกิดขึ้นชั่วคราว และจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อผิวปรับตัวกับเรตินอล